หม่ำ จ๊กมก เปิดใจชีวิตกว่าจะมาเป็นตลกดัง จากเคยมีเงินติดตัว 60 บาท จนกลายเป็นตลกดาวรุ่งได้จับเงินแสน ขอบคุณ 4 ผู้มีพระคุณ…ไม่เคยทอดทิ้งกัน
ต้องบอกว่าเป็นดาราตลกระดับตำนานเลยจริง ๆ สำหรับ หม่ำ จ๊กมก ตลกซุปตาร์ ที่โลดแล่นอยู่ในวงการและสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนไทยมาอย่างยาวนาน และไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเจ้าตัวก็ยังชื่อเป็นดาราตลกอันดับต้น ๆ ที่หลายคนคิดถึง
ล่าสุด หม่ำ จ๊กมก ก็ออกมาเปิดใจเล่าเรื่องราวชีวิตผ่านทางช่องยูทูบ M Busarakum ของ เอ็ม บุษราคัม ลูกสาว กับคลิป ความลับในไหปลาแดก กว่าจะเป็น “หม่ำ จ๊กมก” โดยเฉพาะคำถามที่ว่าเข้าวงการมาได้อย่างไรซึ่งเจ้าตัวก็เผยว่า ตัวเองเป็นคนยโสธร และเป็นคนชอบพูด ชอบร้องเพลง ชอบแสดง จึงเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ และตอนนั้นก็คิดน้อยใจพ่อแม่ไม่รัก รู้สึกว่าเขารักลูกไม่เท่ากันจนออกจากบ้านคิดว่าจะไปตายดาบหน้า แต่จริง ๆ เราคิดไปเองตอนนั้นพ่อแม่เขาก็อยากสอนมากกว่า เขาก็รักลูกเท่ากันหมด
ตอนนั้นที่บ้านเขาขายไก่สด แต่เราไม่ทำเขาเลยมองขี้เกียจสันหลังยาว แต่จริง ๆ เราอัจฉริยะ เพชรก็คือเพชร ตอนนั้นออกจากบ้านมามีเงินติดตัว 60-70 บาท จากยโสธรเข้ามากรุงเทพลำบากมาก ไม่รู้จักใครเลย ต้องไปนอนหน้าสายใต้เก่าอยู่ 2-3 วัน จากนั้นก็ทำงานเป็น Convoy ได้เงินวันละ 70 บาท และมาเป็นตลกได้เพราะไปเช็กซาวด์ คนก็เห็นว่าน่าจะมีทักษะเลยให้ไปเล่น แต่จริง ๆ เคยเกือบจะไปเป็นแดนเซอร์ แต่ใส่ชุดรัด ๆ แล้วอายก็เลยไม่ไปทางนั้น
ส่วนจุดพลิกผันคือได้มาอยู่คณะเทพ โพธิ์งาม มีเปี๊ยก ปากน้ำโพธิ์ เสียไปแล้วเป็นคนพามา เขาไม่ได้เป็นนักปั้น แต่เขารู้จักกับตลกทุกคณะ และด้วยความที่เราเป็นกล้า ไม่กลัว พอไปเจอป๋าเทพก็กล้าเล่น เขาก็โดนเลย เขาตบหัวมาเราก็ตบคืน ก็เลยกลายเป็นดาวรุ่งตลกในยุคนั้น 3-4 วันแรกได้ค่าตัววันละ 3-4 พันบาททุกวัน ได้เงินเยอะมาก 2-3 เดือน พ่อกับแม่มานั่งนับเงินในเก๊ะมีอยู่ 2-3 แสน ซึ่งเราไม่เคยมีเงินเยอะขนาดนั้น นับเงินมือสั่นเลย ตอนนั้นเอ็มอายุได้ขวบกว่า ๆ ชีวิตพลิกเลย อยู่กับป๋าเทพมา 9 ปี จากนั้นก็ออกมาตั้งคณะเอง ที่ออกมาไม่ได้ทะเลาะกัน แต่เป็นเพราะถ่ายหนัง บ้านผีปอป และต้องลางานบ่อยเลยเกรงใจเขา วิ่งได้วันละ 3 หมื่นในสมัยนั้น
หม่ำ ยังได้เล่าโมเมนต์ที่ทำเอาหลายคนซึ้งไปตาม ๆ กัน ถึงผู้มีพระคุณในชีวิต มี 4 ท่าน ที่ทำให้มีวันนี้และไม่เคยทอดทิ้งกัน คนแรกน่าจะเป็น เปี๊ยก ปากน้ำโพธิ์ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ตอนนั้นเขามาตามหาตอนตี 5 แล้วบ้านก็ไม่รู้จักไปตะโกนเรียกไอ้หม่ำ อยู่หลังไหน ชาวบ้านก็ตื่นมาด่าเขาไม่สนใจ เขาเป็นคนเสียงดัง เดินเรียกไปทั้งซอยจนกว่าจะเจอ แล้วพาไปอยู่กับพี่เทพทำให้พลิกเปลี่ยน
คนที่สองคือ พี่เทพ ไม่มีครั้งไหนไม่พูดถึง ลืมไม่ลง เป็นผู้ใหญ่ที่อบอุ่น เขาเข้าใจพ่อ พ่อก็เข้าใจเขา และยังบอกอีกว่าตอนแรกพี่เทพไม่ชอบตัวเอง เพราะประเมินว่าเราเป็นเด็ก อย่างล่าสุดมาโจ๊กตัดโจ๊กเขาก็มีความสุข พ่อก็มีความสุข เล่นกันอยู่ 2 คน บ้ากันอยู่ 2 คน เขามั่นใจที่จะเล่นตอนอยู่กับเรา เราก็เหมือนกัน
ส่วนคนที่สามคือ พี่ตา ปัญญา เราก็ให้ความเคารพอย่างมาก สูง ๆ เลย ไม่เหมือนพนักงานเหมือนคนในครอบครัว อยู่กันจนถึงตอนนี้ ใครมาชวนเราก็ไม่ไป เขาเองก็ไม่ได้ห้าม เขาปล่อย ๆ เรา เหมือนเป็นคนเดียวด้วยที่ปล่อยแบบนี้ เซ็นสัญญาก็เหมือนไม่ได้เซ็น เราเองไม่เคยทำอะไรให้เสียหายถึงบริษัท เขาก็ไว้ใจ ขอทำรายการโจ๊กตัดโจ๊ก เขาก็ให้ทำ อยากทำรายการซูเปอร์หม่ำก็ทำ ไม่ค่อยได้มายุ่งเขาไว้ใจ
และคนสุดท้ายคือ เสี่ยเจียง เป็นอีกคนที่เคารพมาก ๆ เขาให้โอกาสไว้ใจให้ทำหนัง คือเหมือนเรามีวาสนา มีคาถาที่ปาก พูดอะไรผู้ใหญ่เชื่อว่าทำได้ หากเปรียบพี่เทพคือเสาเอก พี่ตาคือกำแพงไม่ให้ลมมาตี เสี่ยเจียงคือหลังคาไม่ให้ฝนตกลงมาเปียก พี่เปี๊ยกดูแลความมั่นคง ถ้ายังมีชีวิตอยู่เราคิดถึงเขามาก น้ำตาไหล เราไม่เคยทอดทิ้งพี่เปี๊ยกตั้งแต่ป่วยจนวินาทีสุดท้ายเสียชีวิต เป็นครอบครัว เขาดีกับพ่อมาก
ตลกดัง ยังทิ้งท้ายว่าถ้าถามว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วหรือยังก็คิดว่า ยัง ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องทำ ในวันที่ท้อก็คิดถึงเมีย คิดถึงลูก ๆ หลาน ๆ แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนที่ท้อน้อยมาก เพราะคิดแค่ว่าถ้าพ่อตายเมีย ลูก หลาน จะอยู่ยังไง นอกนั้นก็คิดแค่ว่าวันไหนเหนื่อย ๆ ก็อยากไปหาหลาน และส่วนตัวนั้นเป็นคนไม่ค่อยจำคำพูดดูถูกจากคนอื่น ไม่เก็บมาใส่ใจ เพราะคนพวกนี้เป็นพวกทำแล้วจำไม่ได้ แต่คนถูกกระทำมันจำได้ มองว่าคนพวกนี้มองแล้วรู้เลยว่าคบได้แค่ไหน คนพวกนี้คือคนชังที่มองไม่เห็นคนดี คิดว่าคนดีเป็นเหยื่อของมัน แต่เห็นเป็นคนตลก ๆ แบบนี้จริง ๆ ก็เคยมีโกรธคนอื่นบ้างแต่ไม่ได้จำมาใส่ใจ